ความแตกต่างที่หลายคนเข้าใจผิด (ฉบับปี 2025)

การทำโปรเจกต์ Odoo ERP ให้สำเร็จไม่ใช่แค่เรื่องของซอฟต์แวร์ แต่คือ “ทีมงาน” ที่ต้องครบทั้งมุมธุรกิจและมุมเทคนิค ซึ่งบทบาทที่สำคัญที่สุดคือ Functional Consultant และ Technical Consultant
แม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่หน้าที่และความเชี่ยวชาญ ต่างกันมาก และมีผลโดยตรงต่อความเร็ว คุณภาพ และต้นทุนของโปรเจกต์ ERP

บทความนี้จะอธิบายให้ครบว่า แต่ละบทบาททำอะไร / ต้องมีทักษะแบบไหน / บริษัทควรจ้างหรือใช้ทีมแบบใด เพื่อให้เลือกใช้ทรัพยากรได้เหมาะสมที่สุด

1. Odoo Functional Consultant คืออะไร?

Functional Consultant (FC) คือผู้เชี่ยวชาญกระบวนการธุรกิจ (Business Process) ที่เข้าใจว่า Odoo ควรตั้งค่าและใช้งานอย่างไรให้ตรงกับองค์กร FC ไม่ได้เน้นเขียนโค้ด แต่เน้น “วิเคราะห์ ปรับกระบวนการ และสอนผู้ใช้”

หน้าที่หลักของ Functional Consultant

• เก็บ Requirement และวิเคราะห์กระบวนการธุรกิจ (Sales, Accounting, Inventory ฯลฯ)
• ออกแบบ Flow การทำงานให้เหมาะกับ Odoo Standard
• Setup ระบบ เช่น Chart of Accounts, Taxes, Sales Flow, Inventory Routes
• ทำ Gap Analysis ว่าอะไรใช้ Standard ได้ อะไรต้อง Custom
• เทสระบบ (UAT) และตรวจคุณภาพงานของทีม Technical
• Training ทีมลูกค้า และทำคู่มือการใช้งาน
• Support หลัง Go-Live

ต้องมีทักษะอะไร

• ความเข้าใจธุรกิจจริง: บัญชี, สต๊อก, MRP, CRM, Procurement
• รู้จักความสามารถของ Odoo Standard
• Skill ด้าน System Setup / Configuration
• Communication และ Problem Solving
• เข้าใจ Requirement เป็นภาษาคนธุรกิจและแปลเป็นภาษานักพัฒนาได้

เหมาะกับใคร

• ERP Consultant
• Business Analyst
• ผู้ที่เคยทำงานบัญชี/คลัง/จัดซื้อมาก่อน

2. Odoo Technical Consultant คืออะไร?

Technical Consultant (TC) คือผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Odoo เน้นงานพัฒนา / Integrate / แก้ไขโค้ด เขาจะทำงานหลังบ้านเพื่อให้ระบบเป็นไปตาม Requirement ที่ Functional วิเคราะห์ไว้

หน้าที่หลักของ Technical Consultant

• Customize/Develop โมดูลใหม่ด้วย Python และ XML
• ทำ API Integration เช่น Shopee, Lazada, ZORT, Payment Gateway
• ปรับหน้าจอ ดูแล QWeb Report, PDF, Excel Export
• Deploy ระบบ เช่น Docker, Odoo.sh, AWS
• แก้ Bug, Debug performance
• เขียน Automation, Server Action, Cron Jobs

ต้องมีทักษะอะไร

• Python, PostgreSQL
• XML, QWeb, Odoo ORM
• Git, Docker, CI/CD
• ตัวอย่างเช่น: Model, Field, View, Security, Controllers
• Network + Cloud ที่เกี่ยวกับการ Deploy

เหมาะกับใคร

• Developer
• System Engineer
• ผู้เชี่ยวชาญด้าน Integration และ Automation

3. ตารางสรุปความแตกต่าง Functional vs Technical

4. แล้วบริษัทควรเลือกใช้บทบาทไหน?

ถ้าเป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มใช้ Odoo

ต้องมี Functional Consultant เป็นหลัก
เพราะจะช่วยออกแบบ Flow ที่ “ถูกต้องตั้งแต่วันแรก”

ถ้าระบบต้องต่อยอดหรือเพิ่ม Feature

ต้องใช้ Technical Consultant เพื่อเขียน Custom Module

ถ้าทำ Digital Transformation ระดับองค์กร

ควรมี ทั้ง FC + TC เต็มทีม เหมือนทีม IMOTIF ทำอยู่
เพราะ ERP = Business + Technology ต้องสมดุลกัน

5. ข้อผิดพลาดที่หลายบริษัททำ (และควรเลี่ยง)

❌ มองว่า “นักพัฒนาเก่งก็ทำ ERP ได้”
→ ผิดมาก เพราะ ERP คือ Business Process ไม่ใช่แค่เขียนโค้ด

❌ ไม่มี Functional สายบัญชี
→ ทำให้ Flow บัญชี/สต๊อกผิดตั้งแต่ต้นจนแก้กลับยาก

❌ ให้ Technical ออกแบบกระบวนการแทน
→ มักจะได้ระบบที่ “ทำงานได้ แต่ไม่เหมาะกับธุรกิจจริง”

❌ ทดสอบ UAT น้อยหรือไม่มี
→ ทำให้ Go-Live แล้วมีปัญหาเยอะมาก

6. บทสรุป

Odoo Functional Consultant และ Technical Consultant มีความสำคัญพอๆ กัน แต่ทำงานกันคนละด้าน

• Functional → เข้าใจธุรกิจ
• Technical → ทำระบบให้เป็นจริง

การมีทั้งสองบทบาทครบ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้โปรเจกต์ Odoo สำเร็จเร็ว ลดต้นทุน และสามารถ Scale ต่อได้ในอนาคต

สำหรับองค์กรที่ต้องการ ทีม Odoo มืออาชีพครบชุด ทั้ง Functional, Technical, DevOps และ Integration
IMOTIF พร้อมช่วยวางระบบมาตรฐานตามหลัก Odoo ERP ของไทย

ต้องการทีมวางระบบ Odoo ที่เข้าใจธุรกิจ SME/Enterprise ไทยจริง?
IMOTIF | Odoo Partner Thailand
ให้บริการครบวงจร:
➡️ Odoo Implementation
➡️ Odoo Customization
➡️ Integration (ZORT, Shopee, Lazada, Payment Gateway)
➡️ Cloud & DevOps บน AWS

ปรึกษาฟรี: https://imotif.io