express-to-odoo-migration-thailand

Odoo แพงจริงไหม? มุมมองที่หลายคนมองข้าม เมื่อเทียบ “ค่าใช้จ่ายต่อ User” กับคุณค่าของ ERP ที่ได้จริง

เวลาพูดถึง Odoo หลายคนมักตั้งคำถามว่า
“ค่า User แพงหรือเปล่า”
“ซอฟต์แวร์อื่นราคาถูกกว่าไหม”
“ถ้าเขียนระบบเองน่าจะประหยัดกว่า”

แต่ในความเป็นจริง หาก SMEs พิจารณาให้ครบทุกมิติ ค่า License ของ Odoo ถือว่าคุ้มค่าอย่างมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจากระบบ ERP แบบเต็มรูปแบบ และมักถูกกว่าการทำ OT หรือเขียนระบบเองหลายเท่า รวมถึงถูกกว่าการใช้งานซอฟต์แวร์หลายยี่ห้อประกอบกันที่ข้อมูลไม่เชื่อมกัน

บทความนี้สรุปแบบกระชับ เข้าใจง่าย ว่าทำไมค่า User ของ Odoo จึง “คุ้มกว่าที่คิด”


1) ค่า License ของ Odoo ครอบคลุมทั้งระบบ ERP ไม่ต้องซื้อโมดูลเพิ่ม

ซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่คิดราคาตามโมดูล เช่น
Sales, Inventory, Accounting, HR, Purchase ต้องจ่ายเพิ่มแยกกัน เมื่อรวมทั้งหมดจึงมีต้นทุนสูงและข้อมูลทำงานไม่เป็นระบบเดียวกัน

Odoo ใช้วิธีคิดราคาแบบ All-in-One
ซื้อ User 1 คน สามารถใช้ได้ทุกแอปในระบบ ERP โดยไม่มีค่าโมดูลเพิ่มเติม

เมื่อเทียบกับระบบ ERP รายอื่น Odoo มักมีราคาต่อจำนวนฟีเจอร์ที่ถูกกว่า และให้ความสามารถมากกว่าในราคาที่คุ้มกว่าอย่างชัดเจน


2) เมื่อเทียบกับ OT หรือ “การพัฒนาเองทั้งหมด” Odoo ถูกกว่าแบบเทียบไม่ติด

หลายบริษัทเข้าใจผิดว่า “เขียนระบบเองจะถูกกว่า” แต่ต้นทุนจริงสูงกว่ามาก เช่น

  • ค่า Developer รายเดือน
  • ค่า PM / Business Analyst
  • ค่าแก้บั๊กและดูแลระบบระยะยาว
  • ค่า Maintain รายปี
  • ค่า Onboarding / Training
  • ค่า Integration
  • ค่า Cloud และ Infrastructure
  • ความเสี่ยงที่ระบบไม่เสถียรหรือไม่สมบูรณ์

และไม่ว่าทีมเก่งแค่ไหน ก็ยากมากที่จะทำระบบให้ครบเท่า ERP ที่ถูกพัฒนามานานกว่า 10 ปี

หากต้องการระบบเทียบเท่า Odoo จริง ๆ จะใช้ทีม 5–10 คน ใช้เวลา 2–3 ปี และยังไม่สมบูรณ์เท่า Odoo ซึ่งต้นทุนรวมมักแพงกว่า License ของ Odoo ถึง 10–20 เท่า


3) Odoo คือ ERP เต็มระบบ ไม่ใช่ซอฟต์แวร์รายฟีเจอร์

Odoo รวมฟีเจอร์สำคัญของธุรกิจไว้ในแพ็กเดียว เช่น

  • Sales / CRM
  • Inventory / Purchase
  • Manufacturing
  • Accounting
  • HR
  • POS
  • Website / eCommerce

และทั้งหมดทำงานบนฐานข้อมูลเดียว เชื่อมกันแบบ Real-time ทำให้ลดงานซ้ำซ้อน ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความถูกต้องของข้อมูล

ถ้าองค์กรซื้อระบบแยกกัน 4–5 ตัว เช่น CRM, Accounting, Inventory, HR ค่าใช้จ่ายรวมจะสูงกว่า Odoo อย่างมาก และยังมีปัญหาการเชื่อมข้อมูลระหว่างระบบต่างยี่ห้ออีกด้วย


4) ค่า License รวมสิทธิการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ต่อเนื่องทุกปี

ค่าที่จ่ายไม่ได้เป็นแค่ค่าใช้ซอฟต์แวร์ แต่รวมถึงการพัฒนา Odoo อย่างต่อเนื่อง โดยมีเวอร์ชันใหม่ทุกปี

สิ่งที่ได้รับ เช่น

  • ความเร็วระบบที่ดีขึ้น
  • ฟีเจอร์ใหม่จำนวนมากทุกเวอร์ชัน
  • UI/UX พัฒนาให้ใช้งานง่ายขึ้น
  • รองรับมาตรฐานบัญชีหลายประเทศ
  • การเชื่อมต่อกับระบบอื่นที่ดีขึ้น
  • ความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงขึ้น

ถ้าบริษัทเลือกพัฒนาเอง จะไม่มีทางอัปเดตได้เร็วหรือครบเท่านี้ และค่าใช้จ่ายทีม Dev ในแต่ละปีสูงกว่าค่า License หลายเท่า


5) เปรียบเทียบต้นทุนจริงของแต่ละรูปแบบ

ตารางสรุปต้นทุนโดยรวม:

ประเภทระบบต้นทุนจริงที่เกิดขึ้น
Odooจ่าย User เดียว ใช้ได้ทั้ง ERP ครบทุกโมดูล
ERP เจ้าอื่นคิดราคาตามโมดูล รวมแล้วแพงกว่า และค่าบำรุงสูง
เขียนระบบเอง (OT)ค่า Dev, ค่าแก้บั๊ก, เวลา, ความเสี่ยงระบบไม่สมบูรณ์ รวมแล้วแพงกว่า 10–20 เท่า
ระบบแยกหลายยี่ห้อค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่า ใช้ไม่เชื่อมกัน ทำงานซ้ำซ้อน

เมื่อเทียบแบบครบทุกมิติ Odoo คือทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับ SME–Mid-size ธุรกิจไทยทั้งในด้านราคา ฟีเจอร์ และความเสี่ยงที่ต่ำกว่าอย่างชัดเจน


สรุป: Odoo ไม่ได้แพง แต่หลายคนดูเฉพาะ “ตัวเลขต่อ User” โดยไม่มองคุณค่าระบบทั้งหมด

หากเปรียบเทียบอย่างถูกต้อง
– ดูฟีเจอร์ที่ได้รับ
– ดูระบบที่เชื่อมครบทุกฝ่าย
– ดูต้นทุนแฝงที่ระบบอื่นไม่มี
– ดูความเสี่ยงของการเขียนระบบเอง
– ดูค่าใช้จ่ายรวมตลอดอายุการใช้งาน

จะเห็นว่า Odoo ให้ความคุ้มค่าในระดับที่ระบบอื่นเทียบได้ยาก และยังถูกกว่า OT หรือการดูแลทีม Dev ภายในบริษัทแบบเทียบกันไม่ติด

สำหรับธุรกิจที่ต้องการระบบ ERP ที่ครบ ฟีเจอร์เยอะ ราคาเข้าถึงได้ และพัฒนาต่อเนื่องทุกปี Odoo คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดในตลาดสำหรับ SMEs ไทยในปัจจุบัน

Share the Post:

Related Posts

odoo-retail-thailand-guide

Odoo Retail: ระบบสำหรับธุรกิจค้าปลีกไทย คู่มือ In-Depth ตั้งแต่หน้าร้านถึงบัญชี พร้อมตัวอย่างเอกสารจริง

คู่มือเชิงลึกสำหรับธุรกิจค้าปลีกไทย อธิบายการใช้งาน Odoo ตั้งแต่ POS, สต๊อก, จัดซื้อ จนถึงบัญชี พร้อมตัวอย่างเอกสารจริงจากระบบ

Read More